หมวด 8
บทบัญญัติสุดท้าย
ข้อ 62
การเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา
(1) รัฐใดๆ ที่เป็นสมาชิกของสหภาพระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรมอาจสมัครเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาฉบับนี้ได้โดย
(i) การลงนาม ที่ตามด้วยการมอบสัตยาบันสาสน์ หรือ
(ii) การมอบภาคยานุวัติสาสน์
(2) สัตยาบันสาสน์และภาคยานุวัติสาสน์ให้ส่งมาให้ผู้อำนวยการใหญ่เก็บรักษาไว้
(3) ให้นำบทบัญญัติข้อ 24 ของอนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม ฉบับกรุงสต็อคโฮล์ม มาใช้บังคับกับสนธิสัญญาฉบับนี้ด้วย
(4) ห้ามมิให้เข้าใจไปว่าบทบัญญัติในวรรค (3) เป็นการรับรองหรือยอมรับโดยปริยายของรัฐภาคีประเทศหนึ่งในสถานการณ์จริงเกี่ยวกับดินแดนที่รัฐภาคีอื่นๆ อาจบังคับใช้สนธิสัญญานี้ได้โดยอาศัยบทบัญญัติในวรรคนั้น
ข้อ 63
การเริ่มต้นมีผลบังคับใช้ของสนธิสัญญา
(1) (เอ) ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งวรรค (3) ให้สนธิสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อครบกำหนด 3 เดือนหลังจากที่มีรัฐต่างๆ จำนวน 8 รัฐมอบสัตยาบันสาสน์หรือภาคยานุวัติสาสน์แล้ว โดยที่รัฐดังกล่าวอย่างน้อย 4 รัฐได้เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(i) ตามสถิติรายปีของปีล่าสุดที่ประกาศโดยสำนักระหว่างประเทศมีจำนวนคำขอที่ยื่นในรัฐนั้นเกินกว่า 40,000 คำขอ
(ii) ตามสถิติรายปีของปีล่าสุดที่ประกาศโดยสำนักระหว่างประเทศ ผู้ที่มีสัญชาติหรือมีภูมิลำเนาของรัฐนั้นได้ยื่นคำขอในประเทศอื่นหนึ่งประเทศ อย่างน้อย 1,000 คำขอ
(iii) ตามสถิติรายปีของปีล่าสุดที่ประกาศโดยสำนักระหว่างประเทศ สำนักงานในประเทศของรัฐนั้นได้รับคำขออย่างน้อย 10,000 คำขอ จากผู้ที่มีสัญชาติหรือภูมิลำเนาในประเทศอื่น
(บี) เพื่อประโยชน์ของวรรคนี้ คำว่า “คำขอ” ไม่รวมคำขอรับอนุสิทธิบัตรด้วย
(2) ภายใต้บังคับของบทบัญญัติในวรรค (3) รัฐใดซึ่งมิได้เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาฉบับนี้ในขณะที่สนธิสัญญามีผลบังคับใช้ตามวรรค (1) ให้สนธิสัญญานี้มีผลผูกพันเมื่อครบ
กำหนดสามเดือนนับแต่วันที่ประเทศนั้นได้ส่งมอบสัตยาบันสาสน์หรือภาคยานุวัติสาสน์
(3) อย่างไรก็ตาม ให้บทบัญญัติหมวด 2 และบทบัญญัติตามข้อบังคับที่สอดคล้องกันซึ่งอยู่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับนี้ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่รัฐต่างๆ จำนวน 3 รัฐ ซึ่งแต่ละรัฐเป็นไปตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในวรรค (1) อย่างน้อยหนึ่งในสามข้อ ได้เข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาแล้วโดยมิได้ประกาศตามที่บัญญัติในข้อ 64 (1) ว่าไม่ประสงค์จะผูกพันในบทบัญญัติของหมวด 2
อย่างไรก็ตาม วันดังกล่าวจะต้องมิใช่วันก่อนวันที่สนธิสัญญานี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตามวรรค (1)
ข้อ 64
ข้อสงวน
(1) (เอ) รัฐใดๆ อาจประกาศว่าไม่ประสงค์จะผูกพันกับบทบัญญัติในหมวด 2
(บี) รัฐต่างๆ ที่ทำคำประกาศตามอนุวรรค (เอ) ไม่ต้องผูกพันกับบทบัญญัติในหมวด
2 และบทบัญญัติต่างๆ ในข้อบังคับที่สอดคล้องกัน
(2) (เอ) รัฐใดๆ ที่มิได้ทำคำประกาศตามวรรค (1) (เอ) อาจประกาศว่า
(i) ไม่ประสงค์จะผูกพันกับบทบัญญัติข้อ 39 (1) ในเรื่องการจัดให้มีสำเนาคำขอระหว่างประเทศและคำแปลของคำขอนั้น (ตามที่กำหนด)
(ii) พันธกรณีในการชะลอการดำเนินการภายในประเทศตามที่กำหนดในข้อ 40 จะต้องไม่ขัดขวางการประกาศโฆษณาคำขอระหว่างประเทศหรือคำแปลของคำขอนั้นโดยหรือผ่านสำนักงานในประเทศของรัฐนั้น อย่างไรก็ตาม ให้เป็นที่เข้าใจว่ารัฐดังกล่าวจะไม่ได้รับยกเว้นจากข้อจำกัดที่บัญญัติในข้อ 30 และข้อ 38
(บี) ประเทศต่างๆ ที่ทำคำประกาศเช่นนั้นย่อมต้องผูกพันตามนั้น
(3) (เอ) รัฐใดๆ อาจประกาศว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับรัฐนั้น คำขอระหว่างประเทศไม่จำต้องมีการประกาศโฆษณาระหว่างประเทศก็ได้
(บี) ถ้าในขณะที่สิ้นสุดระยะเวลา 18 เดือนนับแต่วันยื่นคำขอครั้งแรก คำขอระหว่างประเทศนั้นมีแต่เพียงการมอบหมายรัฐที่ได้ทำคำประกาศตามอนุวรรค (เอ) คำขอระหว่างประเทศนั้นจะไม่ถูกประกาศโฆษณาตามนัยข้อ 21 (2)
(ซี) อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ใช้บังคับบทบัญญัติในอนุวรรค (บี) ให้สำนักระหว่างประเทศประกาศโฆษณาคำขอระหว่างประเทศนั้น ถ้าหากว่า
(i) ผู้ยื่นคำขอร้องขอตามที่บัญญัติในข้อบังคับ
(ii) มีการประกาศโฆษณาคำขอในประเทศ หรือสิทธิบัตรที่มีรากฐานมาจากคำขอระหว่างประเทศ ซึ่งกระทำโดยหรือในนามของสำนักงานในประเทศของรัฐที่ได้รับมอบหมายที่ได้ทำคำประกาศตามอนุวรรค (เอ) ให้สำนักระหว่างประเทศประกาศโฆษณาในทันทีหลังจากการประกาศโฆษณาของสำนักงานในประเทศของรัฐนั้นแต่จะต้องไม่ประกาศโฆษณาก่อนสิ้นสุด
ระยะเวลา 18 เดือนนับแต่วันยื่นคำขอครั้งแรก
(4) (เอ) รัฐใด ซึ่งมีกฎหมายภายในบัญญัติให้สิทธิบัตรในรัฐนั้นมีผลเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วตั้งแต่วันก่อนการประกาศโฆษณา แต่ไม่มีผลเทียบเท่ากับวันยื่นคำขอที่แท้จริงในรัฐนั้นเพื่อประโยชน์ในการพิจารณางานที่ปรากฏอยู่แล้ว ึ่งวันยื่นคำขอครั้งแรกถูกขอถือสิทธิตามอนุสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม รัฐนั้นอาจประกาศว่า การยื่นคำขอระหว่าง
ประเทศที่มอบหมายรัฐนั้นนอกราชอาณาจักร ไม่มีผลเทียบเท่ากับการยื่นคำขอที่แท้จริงในรัฐนั้นเพื่อประโยชน์ในการพิจารณางานที่ปรากฏอยู่แล้ว
(บี) รัฐใดที่ทำคำประกาศตามอนุวรรค (เอ) ไม่ต้องผูกพันกับบทบัญญัติในข้อ 11 (3)
เท่าที่ทำคำประกาศนั้น
(ซี) รัฐใดที่ทำคำประกาศตามอนุวรรค (เอ) จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในเวลาเดียวกันว่าคำขอระหว่างประเทศที่มอบหมายรัฐนั้น เริ่มมีผลเป็นงานที่ปรากฏอยู่แล้วในรัฐนั้นตั้งแต่วันใด และภายใต้เงื่อนไขใด คำประกาศดังกล่าวอาจมีการปรับแก้เมื่อใดก็ได้ โดยแจ้งไปยัง
ผู้อำนวยการใหญ่
5) แต่ละรัฐอาจประกาศว่ารัฐของตนไม่ประสงค์ที่จะผูกพันตนเองกับข้อ 59 เมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างรัฐภาคีที่ได้ทำคำประกาศนั้นกับรัฐภาคีอื่นใด ห้ามมิให้นำบทบัญญัติในข้อ 59 มาใช้บังคับ
(6) (เอ) คำประกาศใดๆ ที่ได้ทำขึ้นตามข้อนี้ ให้ทำเป็นหนังสือ โดยอาจทำในขณะลงนามในสนธิสัญญานี้ ในขณะมอบสัตยาบันสาสน์หรือภาคยานุวัตรสาสน์ หรือในเวลาใดภายหลังจากนั้นโดยการแจ้งไปยังผู้อำนวยการใหญ่เว้นแต่กรณีที่กล่าวถึงในวรรค (5) ในกรณีที่มีการแจ้ง
ดังกล่าว ให้คำประกาศนั้นมีผลบังคับเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 6 เดือนนับจากวันที่ผู้อำนวยการใหญ่ได้รับแจ้ง และมิให้มีผลกระทบต่อคำขอระหว่างประเทศซึ่งได้ยื่นไว้ก่อนสิ้นสุดระยะเวลา 6 เดือนดังกล่าว
(บี) คำประกาศใดๆ ที่ได้ทำขึ้นตามข้อนี้อาจถูกถอนไปเมื่อใดก็ได้ โดยแจ้งไปยังผู้อำนวยการใหญ่ การถอนดังกล่าว ให้มีผลเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ผู้อำนวยการใหญ่ได้รับแจ้ง และในกรณีที่มีการถอนคำประกาศตามวรรค (3) การถอนดังกล่าวมิให้กระทบต่อคำขอระหว่างประเทศที่ได้ยื่นไว้ก่อนสิ้นสุดระยะเวลา 3 เดือนดังกล่าว
(7) ห้ามมิให้ตั้งข้อสงวนอื่นใดต่อสนธิสัญญานี้นอกจากข้อสงวนตามวรรค (1) ถึงวรรค
(5)
ข้อ 65
การใช้บังคับแบบค่อยเป็นค่อยไป
(1) ถ้าความตกลงกับองค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศหรือองค์กรตรวจสอบเบื้องต้นระหว่างประเทศใดๆ บัญญัติไว้เป็นการชั่วคราวให้จำกัดจำนวนหรือประเภทของคำขอระหว่างประเทศที่องค์กรดังกล่าวรับที่จะดำเนินการ ให้สมัชชาลงมติให้นำมาตรการที่จำเป็นสำหรับการบังคับใช้แบบค่อยเป็นค่อยไปของสนธิสัญญาฉบับนี้และข้อบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับประเภทของคำขอระหว่างประเทศที่ระบุมาใช้ บทบัญญัตินี้ให้นำมาใช้บังคับกับคำร้องขอให้ตรวจค้นแบบระหว่างประเทศตามข้อ 15 (5) ด้วย
Next Page
[1] [2] [3] [4] [5] [6] [7] [8] [9] [10] [11] [12] [13] [14] [15] |