18 มกราคม 2553
กฎกระทรวง
ว่าด้วยการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ตามสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร
พ.ศ. ๒๕๕๒๑1
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔ และมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และมาตรา ๑๗ และมาตรา ๖๕ ทศ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ กฎกระทวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป
ข้อ ๒ ในกฎกระทรวงนี้
“สนธิสัญญา” หมายความว่า สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร ทำขึ้น ณ
กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๓
“ข้อบังคับ” หมายความว่า ข้อบังคับตามสนธิสัญญา
“คำขอระหว่างประเทศ” หมายความว่า คำขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ที่ยื่นตามสนธิสัญญา
“ผู้ขอ” หมายความว่า ผู้ยื่นคำขอระหว่างประเทศ
“วันยื่นคำขอครั้งแรก” หมายความว่า
(๑) วันยื่นคำขอระหว่างประเทศ หรือ
(๒) วันยื่นคำขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ที่ผู้ขอได้ยื่นไว้ครั้งแรกก่อนการยื่นคำขอระหว่างประเทศในกรณีที่มีการขอถือสิทธิตามข้อ ๑๖
“สำนักระหว่างประเทศ” หมายความว่า สำนักระหว่างประเทศขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
“องค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศ” หมายความว่า สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศสมาชิกหรือองค์การระหว่างประเทศ ที่ได้รับแต่งตั้งจากที่ประชุมสมัชชาของสนธิสัญญาให้มีอำนาจดำเนินการตรวจค้นและรายงานความเห็นเกี่ยวกับงานที่ปรากฏอยู่แล้วที่เกี่ยวข้องกับการ
ประดิษฐ์ตามคำขอระหว่างประเทศ
“องค์กรตรวจสอบเบื้องต้นระหว่างประเทศ” หมายความว่า สำนักงานสิทธิบัตรของประเทศสมาชิกหรือองค์การระหว่างประเทศ ี่ได้รับแต่งตั้งจากที่ประชุมสมัชชาของสนธิสัญญาให้มีอำนาจดำเนินการพิจารณาและจัดทำความเห็นเบื้องต้นว่าการประดิษฐ์ที่ปรากฏตามข้อถือสิทธิของคำขอระหว่างประเทศเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และสามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม
ข้อ ๓ กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับแก่การขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ตามสนธิสัญญา ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญา เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
หมวด ๑
การยื่นคำขอระหว่างประเทศเพื่อขอรับความคุ้มครอง
การประดิษฐ์ในประเทศภาคีแห่งสนธิสัญญา
ข้อ ๔ บุคคลผู้มีสัญชาติไทยหรือมีภูมิลำเนาในประเทศไทยอาจยื่นคำขอระหว่างประเทศต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาบุคคลผู้มีภูมิลำเนาในประเทศไทยให้หมายความรวมถึงบุคคลที่อยู่ในระหว่างการประกอบอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมอย่างแท้จริงและจริงจังในประเทศไทย และนิติบุคคลที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทยด้วยในกรณีที่บุคคลผู้มีสัญชาติหรือมีภูมิลำเนาในประเทศภาคีอื่นแห่งสนธิสัญญายื่นคำขอระหว่างประเทศต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ผู้ขอชำระค่าดำเนินการในอัตราเท่ากับค่าดำเนินการเพื่อจัดส่งคำขอระหว่างประเทศตามข้อ ๑๐ และให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาส่งคำขอระหว่างประเทศนั้นไปยังสำนักระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการต่อไปในกรณีที่เป็นคำขอระหว่างประเทศของผู้ขอหลายคน ผู้ขออย่างน้อยหนึ่งคนต้องเป็นบุคคลตามที่กำหนดในวรรคหนึ่ง หรือวรรคสาม แล้วแต่กรณี
ข้อ ๕ ในกรณีที่ผู้ขอประสงค์จะมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการแทน ให้มอบอำนาจแก่ตัวแทนซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นผู้กระทำการแทนการมอบอำนาจให้แก่ตัวแทนตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ขอยื่นหนังสือมอบอำนาจตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด ประกอบคำขอระหว่างประเทศ หรือในกรณีที่ผู้ขอเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำขอระหว่างประเทศ ู้ขออาจแต่งตั้งตัวแทนโดยระบุการมอบอำนาจนั้นไว้ในคำขอระหว่างประเทศก็ได้
ข้อ ๖ คำขอระหว่างประเทศ ให้มีรายการ ดังต่อไปนี้
(๑) คำร้อง
(๒) รายละเอียดการประดิษฐ์
(๓) ข้อถือสิทธิ
(๔) รูปเขียน (ถ้ามี) และ
(๕) บทสรุปการประดิษฐ์
รายการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามแบบคำขอระหว่างประเทศตามที่อธิบดีประกาศกำหนดตามสนธิสัญญา
ข้อ ๗ คำขอระหว่างประเทศจะต้องไม่มีข้อความหรือรูปเขียนที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือดูหมิ่นบุคคลใด ๆ หากกรมทรัพย์สินทางปัญญาเห็นว่าคำขอระหว่างประเทศปรากฏข้อความหรือรูปเขียนในลักษณะดังกล่าว ให้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ขอแก้ไขข้อความหรือรูปเขียน พร้อมทั้งแจ้งให้สำนักระหว่างประเทศและองค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศทราบด้วย
ข้อ ๘ ให้ผู้ขอยื่นคำขอระหว่างประเทศและเอกสารประกอบที่มีรายการและข้อความถูกต้องครบถ้วนเป็นภาษาไทย หรือภาษาอังต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวนสามชุดให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาระบุเลขที่คำขอไว้ในคำขอระหว่างประเทศ และประทับข้อความในคำขอระหว่างประเทศแต่ละชุดว่าเป็นคำขอระหว่างประเทศฉบับสำนักระหว่างประเทศ คำขอระหว่างประเทศฉบับองค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศ หรือคำขอระหว่างประเทศฉบับสำนักงานรับคำขอ
ข้อ ๙ ในกรณีที่ผู้ขอยื่นคำขอระหว่างประเทศและเอกสารประกอบเป็นภาษาไทยให้ผู้ขอจัดทำคำแปลเป็นภาษาอังกฤษ และยื่นต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้รับคำขอระหว่างประเทศในกรณีที่กรมทรัพย์สินทางปัญญายังไม่ได้รับคำแปลก่อนที่มีหนังสือแจ้งตามข้อ ๑๓ (๑) ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแจ้งเตือนกำหนดระยะเวลาการจัดทำคำแปลตามวรรคหนึ่งไปพร้อมกับหนังสือแจ้งด้วยในกรณีที่ผู้ขอไม่อาจยื่นคำแปลภายในระยะเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ผู้ขออาจยื่นคำแปลได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่กรมทรัพย์สินทางปัญญามีหนังสือแจ้งตามข้อ ๑๓ (๑) หรือภายในระยะเวลาสองเดือนนับแต่วันที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้รับคำขอระหว่างประเทศ แล้วแต่ว่ากำหนดระยะเวลาใดจะสิ้นสุดลงภายหลัง โดยต้องชำระค่ายื่นคำแปลล่าช้าในอัตราร้อยละยี่สิบห้าของค่ายื่นคำขอระหว่างประเทศเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามวรรคสาม หากปรากฏว่าผู้ขอไม่ยื่นคำแปลต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ถือว่าผู้ขอถอนคำขอระหว่างประเทศ และให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาประกาศการถอนคำขอระหว่างประเทศในที่เปิดเผย ณ กรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมทั้งแจ้งไปยังสำนักระหว่างประเทศและผู้ขอเพื่อทราบ เว้นแต่ผู้ขอได้ยื่นคำแปลและชำระค่ายื่นคำแปลล่าช้าก่อนการประกาศการถอนคำขอระหว่างประเทศและก่อนครบกำหนดระยะเวลาสิบห้าเดือนนับแต่วันยื่นคำขอครั้งแรก
Next Page
[1] [2] [3]
๑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๖/ตอนที่ ๘๗ ก/หน้า ๓๕/๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
|