ใกล้เข้ามาแล้วกับเทศกาลมหาสงกรานต์ หลายๆคนคงจะตั้งตารอให้ถึงเร็วๆด้วยเพราะอากาศประเทศไทยช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น ช่างร้อนจับใจเสียเหลือเกิน ทางคณะรัฐมนตรีจึงหาวิธีดับร้อนแก่ประชาชนให้กินเที่ยวท้าลมร้อนอย่างชื่นฉ่ำด้วยมาตราการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถึงสองต่อ
ต่อที่ 1 ค่าลดหย่อนจากการกินใช้ช่วงสงกรานต์ โดยบุคคลธรรมดาสามารถนำรายจ่ายจากการ กิน-เที่ยว ค่าที่พักโรงแรม ค่าอาหาร เครื่องดื่มต่างๆในร้านอาหาร (ไม่รวมสุรา เบียร์ และไวน์) มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีตามเท่าที่จ่ายจริงได้ แต่สูงสุดรวมกันไม่เกิน 15,000 บาท
ส่วนต่อที่ 2 เป็นการต่ออายุมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โดยสามารถนำหลักฐานค่าใช้จ่ายจากการเข้าใช้บริการ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มาหักค่าลดหย่อนภาษีตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่สูงสุดรวมกันไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าเดินทาง
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงเทศกาล ในวันที่ 9-17 เมษายน พ.ศ. 2559 โดยนำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่ซื้อสินค้าหรือบริการและชำระราคาค่าสินค้าหรือบริการในช่วงเวลาดังกล่าวมาแสดงเท่านั้น
กระนั้นแม้จะมีการประกาศออกมายืนยันถึงมาตรการดังกล่าวแล้ว แต่ทั้งนี้คงต้องรอติดตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขจากทางสรรพากรประกาศเป็นกฎหมายอีกทีหนึ่ง
แต่เดี๋ยวอย่าเพิ่งดีใจจนใช้เงินเพลิดเพลินเกินไปนัก เมื่อลองมาคิดดูเสียก่อนว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการลดหย่อนภาษี ซึ่งมีประโยชน์แก่เราๆท่านๆก็ต่อเมื่อต้องมีการชำระภาษีจากการคำนวณเงินได้สุทธิ (รายได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อนส่วนตัว) แล้ว หากใครได้รับการยกเว้นภาษีแล้วล่ะก็มาตรการดังกล่าวก็เรียกได้ว่าไม่มีประโยชน์ใดๆต่อเราเอาเสียเลย ดังนั้น หันมาเก็บออมกันเสียดีกว่า
ในขณะที่ผู้ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีก็ต้องมาคิดดูกันอีกทีว่าสิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับนั้นคุ้มค่าพอหรือเปล่า เพราะค่าลดหย่อนที่เราๆจะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับอัตราภาษีสูงสุดที่เราเสีย ซึ่งหมายความว่า หากเราใช้จ่ายจนครบ 30,000 บาทแล้ว จะประหยัดภาษีได้ตามแต่ละขั้น ดังนี้
ข้อมูลจาก http://tax.bugnorms.com
