พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชกฤษฎีกา
พระราชทานอภัยโทษ
พ.ศ. ๒๕๖๒
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า
โดยที่ทรงพระราชดาริเห็นว่า ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นับเป็นอภิลักขิตกาลสาคัญ เพื่อเป็นการแสดงพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๗๕ และมาตรา ๑๗๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา ๒๖๑ ทวิ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๑๗ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
พ.ศ. ๒๕๖๒”
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกฤษฎีกานี้
“ผู้ต้องกักขัง” หมายความว่า ผู้ต้องโทษกักขังแทนโทษจาคุกหรือผู้ถูกกักขังแทนค่าปรับ
ซึ่งมีคาพิพากษาหรือคําสั่งของศาลถึงที่สุดก่อนหรือในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
“ผู้ทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ” หมายความว่า ผู้ต้องโทษปรับ
ซึ่งศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับตามมาตรา ๓๐/๑
แห่งประมวลกฎหมายอาญา ก่อนหรือในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ โดยผู้นั้นได้ปฏิบัติตามคําสั่งศาลและมิได้กระทาผิดเงื่อนไขแต่อย่างใด
“ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ” หมายความว่า นักโทษเด็ดขาดซึ่งเป็นผู้ได้รับการพัก
การลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร หรือได้รับการลดวัน
ต้องโทษจาคุกตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ ซึ่งมิได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขแห่งการพักการลงโทษหรือ
การลดวันต้องโทษจําคุก ก่อนหรือในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
“นักโทษเด็ดขาด” หมายความว่า ผู้ซึ่งในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับเป็นนักโทษเด็ดขาด
ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือนักโทษตามกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร
“ผู้กระทาความผิดซ้ำ” หมายความว่า นักโทษเด็ดขาดที่เคยต้องโทษมาแล้ว และกลับมา
ต้องโทษจําคุกในคราวนี้อีกภายในห้าปีนับแต่วันพ้นโทษคราวก่อน กับความผิดทั้งสองคราวไม่ใช่ความผิดฐานลหุโทษหรือประมาท
“กําหนดโทษ” หมายความว่า กําหนดโทษที่ศาลได้กาหนดไว้ในคาพิพากษา และระบุไว้
ในหมายแจ้งโทษเมื่อคดีถึงที่สุด หรือกําหนดโทษตามคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้ลงโทษ หรือ
กําหนดโทษดังกล่าวที่ได้ลดโทษลงแล้วโดยการได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือโดยเหตุอื่น
“ต้องโทษจําคุกเป็นครั้งแรก” หมายความว่า ต้องโทษเพราะถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจําคุกไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี โดยมิได้ถูกศาลพิพากษาให้เพิ่มโทษฐานกระทําควาผิดอีกตามมาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือตามกฎหมายอื่น และไม่เป็นผู้กระทําความผิดซ้า
มาตรา ๔ ผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้ ต้องมีตัวอยู่ในความควบคุมของทางราชการ หรือถูกกักขังไว้ในสถานที่หรือที่อาศัยที่ศาลหรือทางราชการกําหนดในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับติดต่อกันไปจนถึงวันที่ศาลออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษหรือนายกรัฐมนตรีมีคําสั่งปล่อยหรือลดโทษตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ และผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
มาตรา ๕ ผู้ต้องโทษดังต่อไปนี้ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป
(๑) ผู้ต้องกักขัง
(๒) ผู้ทํางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
(๓) ผู้ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ
กรณีผู้ต้องกักขังตามวรรคหนึ่ง (๑) ซึ่งเป็นนักโทษเด็ดขาด และยังไม่ได้รับโทษกักขังแทน
โทษจําคุก หรือยังไม่ได้ถูกกักขังแทนค่าปรับ ให้ผู้ต้องกักขังนั้นได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปในส่วนของโทษกักขังแทนโทษจําคุกหรือในส่วนของการกักขังแทนค่าปรับ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาดดังต่อไปนี้ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไป
(๑) ผู้ต้องโทษจาคุก ไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษ
ที่จะต้องได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
(๒) ผู้มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(ก) เป็นคนพิการโดยตาบอดทั้งสองข้าง มือหรือเท้าด้วนทั้งสองข้าง หรือเป็นบุคคล
ซึ่งแพทย์ของทางราชการไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นคนทุพพลภาพมีลักษณะอันเห็นได้ชัด
(ข) เป็นคนเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อน โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
(โรคเอดส์) หรือโรคจิต ซึ่งทางราชการได้ทําการรักษามาแล้วไม่น้อยกว่าสามเดือนในวันที่
พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และแพทย์ของทางราชการไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าไม่สามารถจะรักษาในเรือนจําให้หายได้ และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดีต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่าสามปี หรือไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษตามกําหนดโทษ
(ค) เป็นคนเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายหรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์)ระยะสุดท้าย ซึ่งแพทย์ของทางราชการไม่น้อยกว่าสองคนได้ตรวจรับรองเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นระยะสุดท้ายและไม่สามารถจะรักษาในเรือนจําให้หายได้
(ง) เป็นหญิงซึ่งต้องโทษจําคุกเป็นครั้งแรก และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดีต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษตามกําหนดโทษ
(จ) เป็นคนมีอายุไม่ต่ากว่าหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรือทะเบียนรายตัวของเรือนจําในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดีซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษที่จะต้องได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินสามปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับหรือเป็นคนมีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไป
(ฉ) เป็นผู้ต้องโทษจําคุกเป็นครั้งแรก และมีอายุยังไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรหรือทะเบียนรายตัวของเรือนจําในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดี ต้องได้รับโทษจําคุกมาแล้วถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๒ ของโทษตามกําหนดโทษ หรือ
(ช) เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม และไม่ว่าในกรณีความผิดคดีเดียวหรือหลายคดีซึ่งมีโทษจําคุกตามกําหนดโทษที่จะต้องได้รับต่อไปเหลืออยู่ไม่เกินสองปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
มาตรา ๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓นักโทษเด็ดขาดซึ่งมิได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปตามมาตรา ๖ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกาหนดโทษจําคุกห้าสิบปี แล้วให้ลดโทษ
ตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้
ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๒
ชั้นดีมาก ๑ ใน ๓
ชั้นดี ๑ ใน ๔
ชั้นกลาง ๑ ใน ๕
โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษ
ต่อจากคดีอื่นนั้น
(๒) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาด
ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑)
(๓) ผู้ต้องโทษจําคุกเพราะความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท ไม่ว่าจะมีความผิดอื่นร่วมด้วย
หรือไม่ ให้ลดโทษจากกําหนดโทษลง ๒ ใน ๓ เฉพาะความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท
มาตรา ๘ ภายใต้บังคับมาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓
นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษตามบัญชีลักษณะความผิดท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ให้ได้รับพระราชทาน
อภัยโทษลดโทษ ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกําหนดโทษจําคุกห้าสิบปีแล้วให้ลดโทษ
ตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจาทหาร ดังต่อไปนี้
ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๓
ชั้นดีมาก ๑ ใน ๔
ชั้นดี ๑ ใน ๕
ชั้นกลาง ๑ ใน ๖
โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษ
ต่อจากคดีอื่นนั้น
(๒) ผู้ต้องโทษจําคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลาดับชั้นนักโทษเด็ดขาด
ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑)
มาตรา ๙ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาด
ซึ่งต้องโทษตามคาพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกไม่เกินแปดปี ในความผิดฐานผลิต นําเข้า หรือส่งออก
หรือผลิต นําเข้า หรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย
ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ให้ได้รับพระราชทาน
อภัยโทษลดโทษจากกาหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมาย
ว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้
ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๕
ชั้นดีมาก ๑ ใน ๖
ชั้นดี ๑ ใน ๗
ชั้นกลาง ๑ ใน ๘
มาตรา ๑๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุกเกินแปดปี หรือจาคุกตลอดชีวิต ก่อนหรือในวันที่พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ใช้บังคับในความผิดฐานผลิต นําเข้า หรือส่งออก หรือผลิต นําเข้า หรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิต ให้เปลี่ยนเป็นกาหนดโทษจําคุกห้าสิบปีแล้วให้ลดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ดังต่อไปนี้
ชั้นเยี่ยม ๑ ใน ๖
ชั้นดีมาก ๑ ใน ๗
ชั้นดี ๑ ใน ๘
ชั้นกลาง ๑ ใน ๙
โดยให้นับโทษจําคุกนั้นตั้งแต่วันที่ต้องรับโทษ เว้นแต่กรณีที่จะต้องนับโทษต่อจากคดีอื่น ให้นับโทษ
ต่อจากคดีอื่นนั้น
(๒) ผู้ต้องโทษจาคุกไม่ถึงตลอดชีวิต ให้ลดโทษจากกําหนดโทษตามลําดับชั้นนักโทษเด็ดขาด
ตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์หรือกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหารตาม (๑)
มาตรา ๑๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาดซึ่งมิได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว และเป็นคนมีอายุตั้งแต่เจ็ดสิบปีขึ้นไปในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตามที่ปรากฏในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยทะเบียนราษฎร หรือทะเบียนรายตัวของเรือนจําในกรณีไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษลงเป็นพิเศษอีก ๑ ใน ๕ จากกําหนดโทษที่ได้รับการพระราชทานลดโทษลงแล้วตามพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา ๑๒ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมซึ่งเป็นผู้กระทาความผิดซ้าให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษจากกาหนดโทษลง ๑ ใน ๖
มาตรา ๑๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๕ นักโทษเด็ดขาดดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกานี้
(๑) นักโทษเด็ดขาดที่มีคาพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษประหารชีวิตที่เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว
(๒) ผู้ต้องโทษตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกเกินแปดปี หรือจําคุกตลอดชีวิต ภายหลังวันที่พระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสแรกนับแต่ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ใช้บังคับ ในความผิดฐานผลิต นําเข้า หรือส่งออก หรือผลิต นําเข้า หรือส่งออกเพื่อจําหน่าย หรือจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่าย ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษกฎหมายว่าด้วยมาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
(๓) ผู้กระทําความผิดซ้า และมิใช่นักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม
(๔) นักโทษเด็ดขาดชั้นเลวหรือชั้นเลวมาก
(๕) นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษในความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสาม มาตรา ๒๗๗
มาตรา ๒๗๗ ทวิ มาตรา ๒๗๗ ตรี มาตรา ๒๘๐ มาตรา ๒๘๕ และมาตรา ๓๔๓ แห่งประมวล
กฎหมายอาญา
มาตรา ๑๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานเรือนจํามาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปีในวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษลงเป็นพิเศษอีกหนึ่งปี
มาตรา ๑๕ นักโทษเด็ดขาดซึ่งต้องโทษประหารชีวิต ให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษลงเป็นโทษจาคุกตลอดชีวิต
มาตรา ๑๖ นักโทษเด็ดขาดซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว และนักโทษเด็ดขาดซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ และจะพ้นโทษในคราวเดียวกันตามพระราชกฤษฎีกานี้จะต้องผ่านหรือเคยผ่านการอบรมเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตามที่กรมราชทัณฑ์หรือกระทรวงกลาโหมกาหนด เว้นแต่โดยสภาพร่างกายหรือจิตใจไม่เป็นปกติจนไม่อาจรับการอบรมได้
มาตรา ๑๗ ให้กระทรวงยุติธรรมหรือกระทรวงกลาโหม แล้วแต่กรณี ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุขและสํานักงานตารวจแห่งชาติ มีหน้าที่และอํานาจติดตาม ดูแล และช่วยเหลือผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพื่อป้องกันการกระทําความผิดซ้า
มาตรา ๑๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแห่งท้องที่ ผู้พิพากษาศาลแห่งท้องที่หรือตุลาการศาลทหารแห่งท้องที่หนึ่งคน และพนักงานอัยการแห่งท้องที่หรืออัยการทหารแห่งท้องที่หนึ่งคนรวมสามคนเป็นคณะกรรมการ มีหน้าที่ตรวจสอบผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและส่งรายชื่อต่อศาลแห่งท้องที่ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับเพื่อความสะดวกแก่ศาลแห่งท้องที่นั้นพิจารณาออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือออกคําสั่งยกเลิกการทํางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ แล้วแต่กรณี
ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ซึ่งถูกลงโทษจําคุกตามคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ตรวจสอบและส่งรายชื่อต่อนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เพื่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาออกคําสั่งปล่อยหรือลดโทษ แล้วแต่กรณี
เมื่อได้มีหมายหรือคําสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือคําสั่งยกเลิกการทางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับแล้ว ให้คณะกรรมการทําบัญชีผู้ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษเก็บไว้ที่เรือนจําหรือทัณฑสถานหนึ่งฉบับ ส่งศาลหนึ่งฉบับ ส่งกระทรวงยุติธรรมหนึ่งฉบับ และทูลเกล้าฯถวายอีกหนึ่งฉบับถ้าการแต่งตั้งกรรมการบางคนอาจทาให้เกิดความไม่สะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีอํานาจแต่งตั้งข้าราชการตามที่เห็นสมควรเป็นกรรมการแทนได้
ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเลขาธิการสานักงานศาลยุติธรรมเป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
มาตรา ๑๙ ในส่วนที่เกี่ยวกับนักโทษตามกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่งตั้งข้าราชการเป็นคณะกรรมการตามที่เห็นสมควร มีหน้าที่ตรวจสอบผู้ซึ่งจะได้รับพระราชทานอภัยโทษและส่งรายชื่อต่อศาลทหารกรุงเทพ ศาลมณฑลทหาร หรือศาลจังหวัดทหารแล้วแต่กรณี ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ เพื่อความสะดวกแก่ศาลทหารดังกล่าวพิจารณาออกหมายสั่งปล่อยหรือลดโทษ หรือออกคาสั่งยกเลิกการทางานบริการสังคมหรือทํางานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ แล้วแต่กรณี
ให้นามาตรา ๑๘ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนําบทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกานี้มาใช้บังคับแก่นักโทษตามกฎหมายว่าด้วยเรือนจําทหาร นอกจากที่ได้บัญญัติไว้แล้วในพระราชกฤษฎีกานี้ ให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงกลาโหมพิจารณาสั่งเทียบกรณีให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งพระราชกฤษฎีกานี้
มาตรา ๒๐ ให้นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และอํานาจของตน
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
บัญชีลักษณะความผิดท้ายพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๖๒
(๑) ความผิดในภาค ๒ ความผิด แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ลักษณะ ๑/๑ ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย
มาตรา ๑๓๕/๑ ถึงมาตรา ๑๓๕/๔
ลักษณะ ๒ ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง
หมวด ๑ ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
มาตรา ๑๓๙ มาตรา ๑๔๐
มาตรา ๑๔๓ และมาตรา ๑๔๔
หมวด ๒ ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ
มาตรา ๑๔๗ ถึงมาตรา ๑๖๖
ลักษณะ ๓ ความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม
หมวด ๑ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม
มาตรา ๑๖๗ มาตรา ๑๗๒
มาตรา ๑๗๓ มาตรา ๑๗๔
มาตรา ๑๗๕ มาตรา ๑๗๗
มาตรา ๑๗๙ มาตรา ๑๘๐
มาตรา ๑๘๑ มาตรา ๑๘๗
มาตรา ๑๘๙ มาตรา ๑๙๑
มาตรา ๑๙๒ และมาตรา ๑๙๘
หมวด ๒ ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
มาตรา ๒๐๐ ถึงมาตรา ๒๐๕
ลักษณะ ๕ ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน
มาตรา ๒๐๙ ถึงมาตรา ๒๑๓
ลักษณะ ๖ ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
มาตรา ๒๑๘ มาตรา ๒๒๐ วรรคสอง
มาตรา ๒๒๑ มาตรา ๒๒๒ มาตรา ๒๒๔
มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๒๙ มาตรา ๒๓๐
มาตรา ๒๓๑ มาตรา ๒๓๒ มาตรา ๒๓๔
มาตรา ๒๓๕ มาตรา ๒๓๖ มาตรา ๒๓๗
และมาตรา ๒๓๘
ลักษณะ ๙ ความผิดเกี่ยวกับเพศ
มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง มาตรา ๒๘๒
และมาตรา ๒๘๓
ลักษณะ ๑๐ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย
หมวด ๑ ความผิดต่อชีวิต
มาตรา ๒๘๘ มาตรา ๒๘๙
และมาตรา ๒๙๐
หมวด ๒ ความผิดต่อร่างกาย
มาตรา ๒๙๗ และมาตรา ๒๙๘
ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง
หมวด ๑ ความผิดต่อเสรีภาพ
มาตรา ๓๑๓ ถึงมาตรา ๓๑๕
และมาตรา ๓๑๗
ลักษณะ ๑๒ ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
หมวด ๒ ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์
และปล้นทรัพย์
มาตรา ๓๓๙ วรรคห้า
มาตรา ๓๓๙ ทวิ วรรคห้า
มาตรา ๓๔๐ วรรคห้า
มาตรา ๓๔๐ ทวิ วรรคหก
และมาตรา ๓๔๐ ตรี
(๒) ความผิดที่มีโทษตามมาตรา ๗๘ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐
(๓) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
และกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ
(๔) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๕) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
(๖) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
(๗) ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือกระทํา
โดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน
ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ กฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน หรือกฎหมาย
ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกระทาโดยกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใด
ซึ่งรับผิดชอบหรือมีประโยชน์เกี่ยวข้องในการดําเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
(๘) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ
หรือหน่วยงานของรัฐหรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น
(๙) ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(๑๐) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก นับเป็นอภิลักขิตกาลสาคัญ สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี อันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติสืบไป จึงจําเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้